พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ ให้ความเห็นว่า ผู้ประกอบการหลายรายมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินธุรกิจทั้งการลดการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม และเพิ่มสัดส่วนในโครงการบ้านจัดสรร รวมไปถึงการเพิ่มโครงการราคาแพงออกมาขายมากขึ้น ซึ่งมีผู้ประกอบการบางรายที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้ซื้อระดับบน
นอกจากนี้ การเร่งปิดการขายและโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วหรือกำลังจะเสร็จเพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้เงินสดเข้ามาหมุนเวียนในบริษัทมากขึ้นคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
SIRI โชว์กำไรสุทธิ 6,060 ล้านบาท เติบโตสูงสุดในกลุ่มอสังหาฯ
“ซื้อไม่ได้ ก็เช่า” บ้านแพง แบงก์เข้ม หนี้ยาว
ซึ่งดูแล้วปัจจัย ความท้าท้ายต่างๆ เหล่านี้ กลุ่มผู้ประกอบการต่างๆ มีแนวทางการบริหารจัดการที่ดี เมื่อผลประกอบการออกมามีผู้ประกอบการบางรายที่มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2565 แม้ว่า ณ ปัจจุบันอาจจะยังมีการประกาศออกมาไม่ครบทุกบริษัท แต่ก็สามารถพิจารณาได้ว่าผู้ประกอบการรายใดมีผลประกอบการที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของรายได้ และกำไร
โดยทั้ง 10 บริษัทมีกำไรสุทธิปี 2566 รวมแล้วทั้งสิ้น 28,922 ล้านบาท
แสนสิริ เป็นผู้ประกอบการที่มีกำไรในปีพ.ศ.2566 มากที่สุด โดยมีกำไรที่ 6,060 ล้านบาทเพิ่มขึ้นประมาณ 42% เมื่อเทียบกับปีพ.ศ.2565 รายได้ของแสนสิริอยู่ที่ 39,082 ล้านบาทเพิ่มขั้นประมาณ 12% จากปีที่แล้ว
เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้และกำไรเป็นอันดับที่ 2 คือ มีรายได้ 38,399 ล้านบาท ลดลงจากปีพ.ศ.2565 ประมาณ 1% กำไรที่ 6,054 ล้านบาทเพิ่มขึ้นประมาณ 3% ซึ่งทั้งแสนสิริ และเอพีในปีที่ผ่านมา นอกจากจะเปิดขายโครงการใหม่มากแล้ว ยังมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งบ้าน และคอนโดมิเนียมต่อเนื่อง
รวมไปถึงการเร่งปิดการขายโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้โครงการราคาแพงของทั้ง 2 บริษัทยังได้รับการตอบรับที่ดีโดยเฉพาะแสนสิริที่หลายโครงการของพวกเขาปิดการขายได้ภายในระยะเวลาไม่นาน แม้ว่าราคาขายเริ่มต้นจะไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทก็ตาม
ศุภาลัยมีกำไรและรายได้มาเป็นอันดับที่ 3 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปีพ.ศ.2565 โดยรายได้ปีพ.ศ.2566 อยู่ที่ 31,818 ล้านบาทลดลงประมาณ 10% และกำไรอยู่ที่ 5,989 ล้านบาทลดลงประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หลายบริษัทมีรายได้มากขึ้นและเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้มากมายนักเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการบางรายที่มีทั้งรายได้และกำไรอันดับต้นๆ แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจน คือ กำไรที่ลดลงซึ่งอาจจะเกิดจาการที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการหรือกิจกรรมทางการขายที่มากขึ้น รวมไปถึงการลดราคาหรือยอมขาดทุนกำไรบ้างเพื่อที่จะได้ปิดการขายได้ จึงอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้กำไรของผู้ประกอบการบางรายลดลง แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมีรายได้และกำไรอยู่ไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่ขาดทุนในช่วงที่ผ่านมา
ผู้ประกอบการบางรายอย่าง คิวเฮ้าส์อาจจะมีกำไรมาก แต่รายได้น้อยมาก เพราะมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์แม้ว่าพวกเขาจะเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการ 5 อันดับแรก
ส่วน แลนด์แอนด์เฮ้าส์ที่หลายปีที่ผ่านมาเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ แต่รายได้จากธุรกิจอื่นๆ ของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ค่อนข้างมาก ดังนั้น เป็นไปได้ที่รายได้ และกำไรในปีพ.ศ.2566 อาจจะมากกว่าผู้ประกอบการหลายรายในตลาด
รายได้และกำไรที่ลดลงของผู้ประกอบการบางรายในปี พ.ศ.2566 ยังคงมีช่องทางในการพลิกกลับมาในปีพ.ศ.2567 เพราะผู้ประกอบการบางรายมีการประกาศแผนการเปิดขายโครงการใหม่ออกมาแล้ว โดยผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายมีการเปิดขายโครงการมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีพ.ศ.2566
และปัจจัยลบบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในปีพ.ศ.2566 อีกทั้งมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองของที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาทยังคงมีต่อในปีพ.ศ.2567 ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีของผู้ประกอบการบางรายที่มีโครงการระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปีพ.ศ.2567
อีกทั้งกำลังซื้อต่างชาติในตลาดคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นแน่นอน ทั้งคนจีน รัสเซีย และพม่าที่เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น
เพียงแต่ปัญหาใหญ่ยังคงอยู่ที่เรื่องของการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีความเข้มงวดมาก และกระทบกับกลุ่มกำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทขึ้นมาถึงกึงระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อยูนิต
ผู้ประกอบการหลายรายจึงพยายามเปิดขายโครงการใหม่ที่เลี่ยงกลุ่มระดับราคานี้ในปีพ.ศ.2567 และพยายามเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อบ้านราคาแพงซึ่งไม่ค่อยมีปัญหาในการขอสินเชื่อธนาคาร ซึ่งผู้ประกอบการบางราย เช่น แสนสิริ และเอสซี แอสเสท รวมไปถึงแลนด์แอนด์เฮ้าส์ทำได้ดีมาโดยตลอด
คาดการณ์อสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567
ด้าน นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด มองว่า ปี 2567 เป็นปีแห่งความหวังในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นปัจจัยหนุนจากนโยบายภาครัฐที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน เช่น การลดค่าใช้จ่ายให้ภาคครัวเรือน ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพลดลงและมีเงินเหลือ ไปใช้จ่ายอย่างอื่นได้ รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยว และเปิดประเทศเป็นแหล่งผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ให้ธุรกิจต่างชาติ
ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้อย่างเต็มที่และผู้ประกอบการอสังหาฯมีการปรับแผนธุรกิจให้มีความเหมาะสม ชูจุดแข็งที่แตกต่างกัน บางบริษัทชะลอการเปิดโครงการเพื่อรอประเมินสถานการณ์บางบริษัทเดินหน้าเปิดโครงการใหม่แบบเต็มกำลัง หรือบางบริษัทก็ยังคงขยายในตลาดที่อยู่อาศัยไปพร้อมกับพยายามหารายได้จากช่องทางอื่นๆ ควบคู่กันไป แต่ในภาพรวมของปีที่ผ่านมา
สอดคล้องกับข้อมูลศูนย์อสังหาริมทรัพย์ (REIC) ที่คาดการณ์ว่า ตลาดที่อยู่อาศัยจะฟื้นตัวขึ้น โดยเป็นผลมาจากการปรับตัวของผู้ประกอบการในตลาดมีการปรับสมดุลระหว่างสินค้าเหลือขายและสินค้าเข้าใหม่
ซึ่งคาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ 108,886 ยูนิต เพิ่มขึ้น 13.7% แต่ในภาพรวมอสังหาฯรายใหญ่ๆของประเทศ ก็ยังคงตบเท้าโชว์ฟอร์มผลประกอบการที่สวยงามสะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอสังหาฯที่ดี
อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาฯยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือในอีกหลายประเด็น ทั้งทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย แนวโน้มราคาพลังงานและราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น กดดันให้ต้นทุนและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจากธนาคาร
อย่างไรก็ดี พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เชื่อมั่นว่าปี 2567 ธุรกิจอสังหาฯ ยังคงมีศักยภาพในการเติบโต ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวและหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ
ผลบอลพรีเมียร์ลีก แมนซิตี้ แซงชนะ แมนยู 3-1 โฟเด้น เบิ้ล
“โยเกิร์ต” มูฟออน! ลบเกลี้ยงทุกอย่างเกี่ยว “พีเค” ด้านนางแบบเวียดนามเคลื่อนไหว หลังถูกเอี่ยวดราม่า
กยศ.คืนเงินลูกหนี้ 3,494 ราย 97 ล้านบาท หลังใช้เกณฑ์คำนวณหนี้ใหม่